ประวัติ ของ แอร์วีน ร็อมเมิล

ช่วงต้น

แอร์วีนเกิดในเมืองไฮเดินไฮม์ ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมัน เป็นบุตรคนที่สามในจำนวนห้าคนของครอบครัว บิดาเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นและเป็นอดีตทหารปืนใหญ่ เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาบรรจุเป็นร้อยตรีในกองทัพเวือร์ทเทิมแบร์คในปี 1910 และเรียนโรงเรียนนายร้อยนครดันท์ซิช เขาจบการศึกษาในปี 1911 และได้รับบรรจุเป็นร้อยโทในกองทัพบกจักรวรรดิในต้นปี 1912[1]

อาชีพทหาร

ร็อมเมิลเป็นนายทหารที่ได้รับการเชิดชูเกียรติขั้นสูงในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับอิสริยาภรณ์พัวร์เลอเมรีทจากการปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบอิตาลี ในปี 1937 เขาตีพิมพ์หนังสือเรื่อง ทหารราบจู่โจม (Infanterie greift an) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักยุทธวิธีและประสบการณ์ของเขาในสงคราม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 7 สมญา "กองพลผี"[2] ในยุทธการที่ฝรั่งเศส ซึ่งในครั้งนี้เอง เขาและพลเอกกูเดรีอันตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยเหนือที่ให้หยุดรอทหารราบมาสมทบ ร็อมเมิลนำกองยานเกราะข้ามแม่น้ำเมิซบุกทะลวงแนวรบของฝรั่งเศสต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียจังหวะบลิทซ์ครีค โดยมีกองพลยานเกราะของกูเดรีอันตามมาติดๆ การตัดสินใจบุกต่อของทั้งสองคนเป็นเหตุผลสำคัญที่สร้างความได้เปรียบแก่เยอรมัน

พลเอกอาวุโสร็อมเมิลในแอฟริกาเหนือ ภาพนี้ถ่ายเพียงหนึ่งวันก่อนได้รับยศจอมพล

ร็อมเมิลถูกส่งตัวไปเป็นผู้บัญชาการทหารในการทัพแอฟริกาเหนือ เขาได้แสดงฝีมือและได้รับการยอมรับนับถือเป็นผู้บัญชาการรถถังที่เก่งกาจที่สุดในช่วงสงครามและได้รับสมญา "จิ้งจอกทะเลทราย" แม้แต่ศัตรูอย่างผู้บัญชาการทหารชาวบริติชก็ยังยกย่องเขาเป็นอัศวิน ร็อมเมิลเคยอธิบายการทัพแอฟริกาเหนือไว้ว่าเป็น "สมรภูมิปราศความเกลียดชัง"[3] ร็อมเมิลได้รับยศจอมพลเมื่อ 22 มิถุนายน 1942 หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่กาซาลาในประเทศลิเบีย[4] ต่อมาเขาได้เป็นแม่ทัพกลุ่ม B ประจำการในอิตาลี ต่อมาหน่วยนี้ถูกสั่งการไปต้านการยกพลข้ามช่องแคบเพื่อขึ้นบกที่นอร์ม็องดีของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 1944

จุดยืนทางการเมืองและการเสียชีวิต

ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพรวมทั้งตัวร็อมเมิลล้วนยินดีต่อการเถลิงอำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซี[5][6] พวกเขาเชื่อว่าเยอรมนีต้องการระบอบการปกครองที่มั่นคงและเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ร็อมเมิลไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคนาซี[7] และไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านยิวและอุดมการณ์นาซี นักวิชาการยังคงถกเถียงกันว่าร็อมเมิลมีส่วนรับรู้ต่อเหตุการณ์ฮอโลคอสต์มากน้อยเพียงใด[8][9][10][11][12] ร็อมเมิลเคยสร้างความตะลึงใจแก่ฮิตเลอร์ในปี 1943 ด้วยข้อเสนอให้แต่งตั้งชาวยิวดำรงตำแหน่งเกาไลเทอร์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ต่อประชาคมโลกและแก้ต่างให้พ้นจากข้อกล่าวหาของพวกอังกฤษที่ว่าเยอรมนีปฏิบัติไม่ดีต่อชาวยิว แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับเขาว่า "ร็อมเมิลที่รัก คุณไม่เข้าใจความคิดผมเลย"[12][13]

นักประวัติศาสตร์หลายคนระบุว่าร็อมเมิลเป็นนายพลสุดโปรดคนหนึ่งของฮิตเลอร์ และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์ในอาชีพการงาน[14][15][6]ความโน้มเอียงทางการเมืองของร็อมเมิลนั้นเป็นหัวข้อถกเถียงกันอยู่แม้แต่ในหมู่นาซีร่วมสมัย ร็อมเมิลเองเห็นชอบกับบางแง่มุมของอุดมการณ์นาซี[16] และนิยมโฆษณาชวนเชื่อที่นาซีสร้างขึ้นเกี่ยวกับเขา แต่ก็รู้สึกโกรธที่โฆษณานั้นพรรณนาว่าเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีคนแรก ๆ และเป็นบุตรช่างหิน ทำให้ต้องแก้ไขโฆษณา[17][18]

สำหรับแผนลับเพื่อสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944 นั้น ไม่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ มีผู้ก่อการให้การปรักปรำเขา แต่เนื่องจากร็อมเมิลมีสถานะเป็นวีรบุรุษของชาติ ฮิตเลอร์จึงไม่อาจลงโทษเขาอย่างโจ่งแจ้งได้ ร็อมเมิลได้รับข้อเสนอสามข้อจากพลโทบวร์คดอร์ฟ ทางเลือกหนึ่ง; ไปแก้ตัวต่อฮิตเลอร์ด้วยตนเองที่กรุงเบอร์ลิน ทางเลือกสอง; เข้ารับการพิจารณาคดีในชั้นศาลและถูกพิพากษาประหารชีวิต ทางเลือกสาม; ปลิดชีพตัวเองแลกกับการดำรงเกียรติยศและสิทธิทุกอย่าง ครอบครัวจะไม่ถูกลงโทษและได้รับบำนาญตามปกติ ร็อมเมิลเลือกทางเลือกสุดท้าย เขาฆ่าตัวตายโดยการกัดแคปซูลไซยาไนด์[19] ฮิตเลอร์จัดรัฐพิธีศพให้ร็อมเมิลอย่างสมเกียรติ กองทัพประกาศว่าเขาถูกเครื่องบินข้าศึกยิงกราดขณะโดยสารรถยนต์ทหารประจำตัวในนอร์ม็องดี